อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เป็นองค์ความรู้ที่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ของปราชญ์ชาวบ้าน ที่ได้พยายาม แก้ไขปัญหาน้ำเสีย ดินขาดความอุดมสมบูรณ์เพราะจากการใช้ปุ๋ยเคมี ใช้ยาฆ่าแมลง ต้นไม้ ป่าไม้มี จำนวนลดลงเนื่องจากมีการตัดไม้ทำลายป่า จนเกิดภาวะภัยแล้ง ปัญหาน้ำท่วม ก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อผลิตผลทางเกษตรกรรม เมื่อได้พยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับครอบครัว จนสามารถพลิกฟื้น คืนความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติได้ ทำให้มีวิถีชีวิตที่เข้มแข็งขึ้น จึงได้นำความรู้ ความสำเร็จของตนที่ นับได้ว่าเป็นภูมิปัญญาที่สามารถถ่ายทอดให้คนในชุมชนนำไปปฏิบัติ จนทำให้ธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นมีความอุดมสมบูรณ์สืบต่อมา
การถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของปราชญ์ชาวบ้าน มี วิธีการถ่ายทอดทั้งภาคปฏิบัติและภาคทฤษฎี เพื่อให้แนวคิด และปลูกจิตสำนึก แก่ผู้เข้ารับการอบรมได้ เห็นคุณค่าของพื้นดิน พื้นน้ำ ต้นไม้ สิ่งแวดล้อม ทั้งของตนเองและท้องถิ่นของตน จึงต้องช่วยกันรักษา ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ รักษาระบบนิเวศให้สมดุล อย่างยั่งยืนสืบไป โดยสรุปองค์ความรู้แยก ตามประเภทดังนี้
การอนุรักษ์น้ำ
การทำระเบิดน้ำลึก
วัสดุอุปกรณ์
1. ดิน 1 ใบ
2. ปุ๋ยจุลินทรีย์ชีวภาพ
3. ปีบ
4. หัวเชื้อจุลินทรีย์
5. กากน้ำตาล
6. น้ำ
7. กระสอบป่าน
ขั้นตอนวิธีทำ
1. นำดินและปุ๋ยมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน
2. ใช้น้ำ 100 ลิตร กากน้ำตาล 10 ลิตร หัวเชื้อจุลินทรีย์ 20 ซีซี มาผสมกัน
3. นำน้ำที่ผสมได้มารดดินที่เตรียมไว้ให้ได้ความชื้นประมาณ 50%
4. จากนั้นนำมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 ซม. นำไปวางไว้ในร่มแล้วคลุมด้วยกระสอบป่านหรืออุปกรณ์ที่ระบายอากาศได้ดี ห้ามใช้พลาสติก เนื่องจากพลาสติกมีความร้อนสูงจะทำให้ระเบิดเน่าเสียได้ง่าย และทิ้งไว้ 5-7 วัน จึงจะนำไปใช้ประโยชน์ได้
การใช้ประโยชน์
1. นำไปใส่แหล่งน้ำ 1 ลูก ต่อ 1 ตารางเมตร ใส่ทุกๆ 7-10 วัน เพื่อช่วยบำบัดน้ำเสียให้มี สภาพดีขึ้น และเป็นอาหารปลาและพืชในน้ำ
2. นำไปทุบให้ละเอียด เพื่อเป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้
การอนุรักษ์ดิน
หากดินขาดความอุดมสมบูรณ์จะมีผลทำให้พืชไม่เจริญเติบโตหรือเจริญเติบโตไม่ สมบูรณ์เต็มที่ ซึ่งอาจมีผลมาจากการที่ธาตุอาหารในดินลงลง ไม่มีการเติมอินทรียวัตถุในดินดินที่มี อากาศไหลเวียน ไม่ดี ทำให้ธาตุอาหารสำคัญสูญเสียไป การชะล้างดินจากน้ำที่มีปริมาณมากๆ ธาตุ อาหารจะถูกดึงไปลึก รากพืชไม่สามารถหยั่งลงไปถึง การพังทลายของหน้าดิน การใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมี เมื่อใช้ไปนานๆ สภาพดินเป็นกรด โครงสร้างดินแข็งจนทำให้สิ่งมีชีวิตในดินตาย จึงต้องมีการปรับปรุง บำรุงดิน โดยมีวิธีต่างๆ ดังนี้
1. การฟื้นฟูและปรับปรุงดินเพื่อสร้างดินให้ดี เป็นการสร้างให้ดินมีชีวิต ทำให้โครงสร้างดินดีขึ้น เป็นการเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน
ขั้นตอนที่ 1 เป็นการฟื้นฟูดิน ด้วยการการพักดิน เพื่อดูแลคุณภาพดิน เพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้ดิน ด้วยพัก การเพาะปลูก ปล่อยให้วัชพืชต่างๆ ขึ้น ดินจะได้รับการฟื้นตัวจนเริ่มมีความอุดมสมบูรณ์ และด้วยการงด การเผาเศษพืช ใบไม้ ใบหญ้า รวมทั้งฟางข้าวและตอซังเพราะ ธาตุอาหารที่อยู่ในเศษพืชทุกชนิดถูกทำลาย ไป และดินแข็งกระด้าง ทำให้จุลินทรีย์และสัตว์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในดิน ถูกทำลายไป ทำให้ดินขาดความ สมบูรณ์ ทำให้อินทรียวัตถุ ถูกทำลายไป ไม่มีอินทรียวัตถุปกคลุมดิน ดินจึงเก็บน้ำไม่อยู่
ขั้นตอนที่ 2 เป็นการปรับปรุงเพื่อสร้างดินให้ดี มีหลายวิธี ดังนี้
1) เตรียมแปลงหรือหลุมแล้วคลุกด้วยปุ๋ยหมักให้เข้ากับดิน รดด้วยน้ำหมักชีวภาพ ให้ชุ่ม (ใช้น้ำหมัก 3 ช้อนโต๊ะ ผสมกากน้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะและน้ำเปล่าหรือน้ำซาวข้าว หรือน้ำแช่ถั่ว 20 ลิตร) แล้วคลุมด้วยฟางหรือใบไม้ใบหญ้า ทิ้งไว้ประมาณ 1 - 2สัปดาห์ จึงค่อยปลูกพืชลงไป
2) ก. ขุดแปลงหรือหลุมให้ลึก 30 – 50 เซนติเมตร ความกว้างและยาวตามความต้องการ
ข. ใส่เศษฟางหรือเศษใบไม้ใบหญ้า หรือเศษขยะ ลงไปให้เต็ม โรยปุ๋ยหมักบางๆรดด้วยน้ำหมักชีวภาพให้ทั่ว อัตราส่วนเช่นเดียวกับข้อ ก.
ค. เกลี่ยหน้าดินกลบที่แปลงหรือหลุมหนา 20 – 30 เซนติเมตรแล้วผสมปุ๋ยหมักคลุกเคล้า ให้เข้ากับดิน
ง. รดด้วยน้ำหมักชีวภาพให้ชุ่ม อัตราส่วนเช่นเดียวกับวิธีที่ 1 คลุมด้วยฟางหรือเศษไม้ ใบหญ้า ทิ้งไว้ 1 - 2 สัปดาห์แล้วจึงปลูกพืช
3) คลุมพื้นที่ที่ต้องการปลูกพืชด้วยพืชตระกูลถั่วใบไม้ใบหญ้าและฟาง หนา 30 - 50 เซนติเมตร รดด้วยน้ำหมักชีวภาพให้ทั่ว (อัตราส่วนเช่นเดียวกับข้อ 1)ปล่อยให้เน่าเปื่อยย่อยสลายตามธรรมชาติ แล้วจึงปลูกพืชลงไป
4) การสร้างดินให้ดีในพื้นที่นา หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว
ขั้นตอนที่ 1 หว่านปุ๋ยหมักในพื้นที่นา 50 – 200 กิโลกรัมต่อไร่แล้วไถกลบ
ขั้นตอนที่ 2 หว่านพืชตระกูลถั่ว 2-5 กิโลกรัม ต่อไร่แล้วคราดกลบ
ขั้นตอนที่ 3 คลุมด้วยฟาง แกลบ คายข้าว เศษไม้ใบหญ้าหรือวัตถุอินทรีย์อื่นๆเท่าที่จะหาได้
ขั้นตอนที่ 4 เมื่อถึงฤดูทำนาก็หว่าน ไถ ปัก ดำ ตามปกติ
5) การทำก้อนระเบิดน้ำใสดังโหว่ะ
วัสดุอุปกรณ์
1. จุลินทรีย์ 1 ลิตร
2. กากน้ำตาล 1 ลิตร
3. น้ำซาวข้าว 1.5 ลิตร
4. ฮอร์โมนผลไม้ 1.5 ลิตร
5. รกหมู 1.5 ลิตร
6. น้ำเศษอาหารหมัก 4-5 กิโลกรัม
7. แมกนีเซียม 25 กิโลกรัม
8. รำละเอียด 40 กิโลกรัม
ขั้นตอนวิธีทำ
นำส่วนผสมต่างๆ สิ่งที่เป็นน้ำทุกอย่างมารวมกันให้ได้น้ำประมาณ 10 ลิตร แล้วนำมา ผสมน้ำสะอาด 10 ลิตร ร 40 กก. แมกนีเซียม 25 กก. ผสมให้เข้ากันจนเหนียวพอที่จะเป็นเป็นก้อนได้ ปั้นเป็นก้อนกลมๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 ซม. หรือทำเป็นก้อนสี่เหลี่ยมแบบอิฐมอญหรืออิฐ แดงก็ได้
วิธีใช้
1-2 ต้น ต่อไร่ ต่อปี
การใช้ประโยชน์
1. ปรับปรุงบำรุงดิน
2. ทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี
3. ทำให้ดินร่วนซุย เก็บความชุ่มชื้นได้ดี
2. การใช้หญ้าแฝกเพื่อป้องกันการพังทลายของดิน เมื่อฝนตกปริมาณมากๆ น้ำจะชะเอาดิน ตะกอนจากหน้าดินมาปะทะไว้ตามลำต้นและแขนงของต้นแฝก ที่รวมกันเป็นกอแน่นสูงประมาณ 100 - 150 เซนติเมตรก็จะทำให้ไหลช้าลง น้ำส่วนใหญ่ก็จะชุ่มลงไปในดินด้วย สามารถป้องกันการพังทลาย ของดินได้ เพราะมีรากที่ยึดดินได้ลึกประมาณ 50 – 100 เซนติเมตร
ประโยชน์ที่ได้จากแฝกในทางเกษตร
1. อนุรักษ์ดินและความชื้นของดินได้เป็นอย่างดี
2. ป้องกันฝั่งหรือตลิ่งแม่น้ำลำคลองมิให้ถูกเซาะได้ง่าย
3. ปลูกข้างถนน คอสะพาน แนวกั้นคลองส่งน้ำชลประทาน ป้องกันมิให้ดินถูกกัดเซาะหรือพังทลายลงมา
4. ช่วยกรองน้ำฝนที่ชะลงมาโดยกักเอาดินตะกอนไว้ทำให้น้ำไหลช้าลงและชุ่มลงในดิน
การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
ป่าสามอย่างประโยชน์สื่อย่าง
วัสดุอุปกรณ์
เลือกพื้นที่ป่าธรรมชาติ สวนหลังบ้าน แปลงเกษตรผสมผสาน หรือ เกษตรแบบป่า (วนเกษตร) เพื่อให้เป็นพื้นที่ในการศึกษา
วิธีทำขั้นตอน
ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมจำแนกชนิดของต้นไม้ และจัดลำดับตามชั้น ความสูง ซึ่งจะประกอบด้วย ป่าชั้นสูง ป่าชั้นกลาง และป่าชั้นล่าง (ไม้ชั้นสูง ไม้ชั้นกลาง ไม้เตี้ยไม้เรี่ยดิน และไม้หัวใต้ดิน) เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ของระบบธรรมชาติ และเพื่อนำระบบดังกล่าวมาวางแผนใน การผลิตเพื่อให้ได้ประโยชน์ 4 อย่าง คือ มีกิน มีอยู่ มีใช้ และมีความร่มเย็น ดังนั้นพื้นที่เพียง 1 ไร่ อาจ สามารถปลูกพืชหลักชนิดละ 100 ต้น ได้มากกว่า 10 ชนิด หรือ 1,000 ต้น ซึ่งจะใช้พ้นที่น้อยกว่าการ ปลูกพืชเชิงเดี่ยวมาก ทั้งยังเน้นการสร้างความสมดุลในระบบนิเวศ ที่มีการหมุนเวียนธาตุอาหารอย่าง สมดุล
ประโยชน์
ทำให้เกษตรกรสามารถพึ่งตนเองได้ในด้านอาหาร ที่อยู่อาศัย สมุนไพร และสร้างความร่มเย็นขึ้นได้ ซึ่งหากผู้เข้ารับการฝึกอบรมนำแนวทางป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ไป ดำเนินการคนละ 1 ไร่ ก็จะสามารถสร้างป่า (วนเกษตร) ที่กินได้ขึ้นมาถึง 500 ไร่ และยังสามารถสร้าง ความมั่นคงทางการอาหารที่ปลอดภัยให้กับเกษตรกรได้