รมว.เกษตรฯ ทุ่มแสนล้านช่วยเกษตรกร ปรับโครงสร้าง-จัดโซนนิ่ง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรฯเตรียมเสนอแผนปรับโครงสร้างภาคเกษตรทั้งระบบเป็นเวลา 5 ปี เข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในเดือนธันวาคมนี้ หลังครม.เห็นชอบแล้วจะเสนอเป็นร่างกฎหมายพัฒนาภาคเกษตร เข้าสภานิติบัญญํติแห่งชาติ(สนช.) เพื่อใช้เป็นกฎหมายที่ทุกรัฐบาลต้องปฎิบัติตาม โดยปีแรกใช้งบประมาณร้อยละ20 หรือปีละ 2แสนล้านบาท จากรายได้ภาคเกษตรกับภาคอุตสาหกรรมเกษตร มาใช้ปรับโครงสร้างการเกษตร การประกันภัยพืชผลการเกษตร การช่วยเหลือค่าครองชีพในรูปแบบสวัสดิการต่างๆและงบต่อเนื่องในงานวิจัยต่อยอดผลผลิต
โดยหลัการสำคัญมุ่งพัฒนาผลผลิต ข้าวและยางพาราซึ่งเป็นอาชีพเกษตรที่เป็นรากฐานการผลิตของประเทศ เพราะจะเพิ่มรายได้มวลรวมหรือจีดีพีของอัตราการเติบโตในระบบเศรษฐกิจในภาพใหญ่จากจำนวนเกษตรกรกว่า 24ล้านครัวเรือน และยกระดับความเป็นอยู่เกษตรกรไทยหลุดพ้นจากความเหลื่อมล้ำทางรายได้และเส้นความยากจน ขณะนี้รายได้เฉลี่ยอยู่ที่3,200-5,200 บาทต่อครัวเรือน ซึ่งเป้าหมายยกระดับรายได้ให้ถึง 1.2แสนบาทต่อปีต่อครัวเรือน
“ส่งผลให้รัฐบาลไม่ต้องมีภาระอุดหนุนภาคเกษตรมากเหมือนที่ผ่านมา ทั้งนี้การปรับโครงสร้างภาคเกษตร เป็นเรื่องใหญ่มากและต้องใช้เวลา แต่ต้องเริ่มทำไม่อย่างนั้นเกษตรกรไทยจะไม่หลุดจากวงจรปัญหาหนี้สิน มีมูลหนี้สูงถึง1.1 ล้านๆบาท โดยทุกวันนี้อยู่ได้ด้วยเงินกู้มากินใช้และลงทุนเพาะปลูก แต่ขายขาดทุนตลอดเพราะส่วนใหญ่ผลิตแต่สินค้าเกษตรคุณภาพต่ำและไม่สอดคล้องกับตลาด”แหล่งข่าว กล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่าประเทศมหาอำนาจได้เคยใช้นโยบายปรับโครงสร้างเกษตรไปสู่อุตสาหกรรมเกษตรและออกกฎหมายปฏิรูปภาคเกษตร ทำให้ยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรได้สำเร็จ อาทิ สหรัฐอเมริกา ออกกฏหมายฟาร์มบิว สหภาพยุโรป ออกกฎหมายพัฒนาภาคเกษตรและประเทศญี่ปุ่น ออกกฎหมายคล้ายกับอียู โดยประเทศไทย จะใช้ต้นแบบจากกฎหมายเหล่านี้มาร่างกฎหมายปรับโครงสร้างภาคเกษตร ซึ่งในช่วง3 ปีแรกรัฐบาลต้องจ่ายเงินอุดหนุนให้กับเกษตรกรในแผนรายละ 1.9แสนบาทต่อครัวเรือน โดยกลุ่มเป้าหมายเกษตรกรปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสม 2.5 ล้านครัวเรือน และยาง 6 แสนครัวเรือนที่เข้าโครงโค่นยางเก่าปลูกพืชใหม่ชดเชยไร่ละ 2.5 หมื่นบาท ส่วนที่นาไม่เหมาะสม 11.2 ล้านไร่ เปลี่ยนเป็นอ้อย 4.6 ล้านครัวเรือน มันสำปะหลัง 2 ล้านไร่ ข้าวโพด 6 แสนไร่ และอีกส่วนส่งเสริมปลูกพืชผสมผสานตามแนวพระราชดำริ”